วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

เห็ดหลินจือตัวช่วยเรื่องโรคหัวใจช่วยท่านได้อย่างไร

จากสถิติข้อมูลการเสียชีวิตของคนไทย  ปรากฏว่าโรคที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 คือ โรคหัวใจ จากการเก็บข้อมูลทำให้พบว่ากว่า 80% เสียชีวิตด้วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
ทั่วโลกมีผู้ที่ต้องตายด้วยสาเหตุนี้ถึง 17,300,000 คนต่อปี หรือ เฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อรู้ข้อมูลแล้วก็อย่าเพิ่งตกใจกันนะครับ เพราะวันนี้เรามีสาระดีๆมาฝากกัน ที่จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้ รวมถึงการป้องกันและบำรุงรักษาด้วยครับ

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
ปัยจัยเสี่ยงสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดโรคนี้ได้แก่ อายุ พันธุกรรม การสูบบุหรี่ ไขมันโคเลสเตอรอล เบาหวาน ความดัน โลหิตสูง และความเครียด

แนวทางการป้องกันโรคหัวใจ
คือ รับประทานอาหารให้ครบ5 หมู่ ,หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง,ควบคุมระดับไขมันในเลือด,เลิกสูบบุหรี่,งดดื่มสุรา,ออกกำลังการสม่ำเสมอ,ทำจิตใจให้แจ่มใส,ห้ามเครียด,ควบคุมเบาหวานและความดันโลหิตสูง

การควบคุมไขมันในเลือดนั้น เนื่องจากไขมันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ สมอง แต่หากมีไขมันนี้ มากเกินไปจะเกิดการสะสมของไขมันในผนังของหลอดเลือดได้ ไขมันที่ร้ายที่สุดคือโคเลสเตอรอลชนิด แอล-ดี-แอล ในทางกลับกันไขมันโคเลสเตอรอล ชนิด เอช-ดี-แอล เป็นไขมันชนิดดีที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
ควบคุมระดับไขมันโคเลสเตอรอล ในเลือดไม่ให้เกิน 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
แอล-ดี-แอล ไม่เกิน 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
เอช-ดี-แอล ควรมากกว่า 35 (ยิ่งมากยิ่งดี) มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

ไขมันโคเลสเตอรอลส่วนใหญ่มาจาก ไขมันจากสัตว์และพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว (น้ำมันพืชชนิดอื่น เช่น รำ ถั่วเหลือง ข้าวโพด ไม่มีโคเลสเตอรอล) ดังนั้นหลักสำคัญ ของการลดระดับไขมันในเลือดคือการ ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่เราเห็นๆว่ามีไขมันสูง เช่น หมูสามชั้น เนื้อติดมัน หนังเป็ด หนังไก่ ข้างขาหมู ข้าวมันไก่ กะทิ เนย พิซซา เบอร์เกอร์ เป็นต้น โคเลสเตอรอลยังมีมากในเครื่องในสัตว์ สมองสัตว์ ไข่แดงจากไข่ทุกประเภท (แต่ไม่พบในไข่ขาว) อาหาร ทะเลบางชนิด เช่น กุ้ง ปลาหมึก หอยนางรม มันปู
การรับประทานมังสะวิรัติ หรือแม้กระทั่ง “เจเขี่ย” ก็ช่วยลดไขมันโคเลสเตอรอล ได้ดี แต่ไม่ควร รับประทานไข่แดงเกิน 2 ฟองต่อสัปดาห์
นอกจากนั้นอาหารประเภทที่มีกากมาก เช่น ข้าวกล้อง ข้าว ซ้อมมือ ซีเรียล ผลไม้ ก็มีส่วนช่วยลดการดูดซึมของไขมันเช่นกัน

สมุนไพรรักษาโรคหัวใจ
นพ. บรรเจิด ตันติวิท ได้กล่าวถึงเห็ดลินจือสามารถรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบได้ จากหนังสือ "หลิงจือ กับ ข้าพเจ้า"  ซึ่งได้พูดถึงเหตุผลว่าทำไมเห็ดหลินจือถึงโรคเส้นเลือดหัวใจตีบได้

ทำไมเห็ดหลินจือถึงสามารถรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตายได้
ก่อนอื่นต้องรู้สาเหตุของโรคเหล่านี้ก่อน โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่

สาเหตุที่หนึ่ง การเกาะตัวของลิ่มเลือดทำให้เส้นเลือดอุดตัน
โดยปกติแล้วการก่อตัวของเกร็ดเลือดให้เป็นลิ่มเลือดนั้นมีความจำเป็นต่อการห้ามเลือดและการสมานแผล แต่หากลิ่มเลือดเกาะตัวง่ายจนเกินไปทำให้เกิดปัญหาเส้นเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรค
เส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตาย กล่าวคือ ถ้าเส้นเลือดที่อุดตันเป็นเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจก็เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ  ถ้าอุดตันมากจนเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอก็จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย

เห็ดหลินจือช่วยได้ : เห็ดหลินจือสามารถละลายลิ่มเลือดไม่ให้อุดตันได้
เห็ดหลินจือมีสารสำคัญที่เรียกว่า นิวคลีโอไชด์ ซึ่งมีคุณสมบัติละลายลิ่มเลือดที่อุดตัน ไม่ให้ลิ่มเลือดเกาะตัวง่ายเกินไป จนเกิดการอุดตันของเส้นเลือด

เห็ดหลินจือไม่ได้ช่วยแค่เส้นเลือดที่หัวใจเท่านั้น ยังรวมถึงเส้นเลือดทุกแห่ง รวมทั้งเส้นเลือดในสมองด้วย
นอกจากนั้น เห็ดหลินจือยังช่วยในการเพิ่มออกซิเจนที่สะสมในเนื้อเยื่อ
เห็ดหลินจือมีสารเยอมาเนียมที่ช่วยในการเพิ่มออกซิเจนที่สะสมในเนื้อเยื่อ เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจขาดออกซิเจนก็สามารถดึงออกซิเจนจากเนื้อเยื่อบริเวณนั้นได้ ทำให้รอดพ้นจากสภาวะวิกฤต

สาเหตุที่สองคือ มีไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือดมากเกินไปจนเกาะเส้นเลือดทำให้เกิดการอุดตัน
เมื่อเส้นเลือดหัวใจตีบมากจนอุดตัน เลือดก็ส่งไปเลี้ยงหัวใจไม่ทัน เกิดภาวะการขาดออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจ

เห็ดหลินจือช่วยได้ : เห็ดหลินจือช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด  เห็ดหลินจือมีสารไตรเทอพิน ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือดไม่ให้มีมากเกินไป ซึ่งเห็ดหลินจือก็ช่วยขจัดอีกสาเหตุหนึ่งของโรคไปได้


สรุปเห็ดหลินจือช่วยรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตายได้  นั่นเป็นเพราะว่า
- เห็ดหลินจือสามารถละลายลิ่มเลือดไม่ให้อุดตันได้
- เห็ดหลินจือช่วยในการเพิ่มออกซิเจนที่สะสมในเนื้อเยื่อ ทำให้รอดพ้นหากเกิดสภาวะวิกฤตเมื่อหัวใจขาดออกซิเจน
- ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือดไม่ให้มีมากเกินไป
- คนที่เป็นโรคหัวใจรักษาด้วยแผนปัจจุบันต้องรับประทานยาไปตลอด
ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าการรับประทานยาแผนปัจจุบันไปนานๆ ตับจะเสือม เห็ดหลินจือยังช่วยบำรุงตับให้ดีขึ้นอีกด้วย

ทำไมเห็ดหลินจือถึงช่วยที่เป็นผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับการขาดออกซิเจนฉับพลันให้รอดพ้นจากสภาวะวิกฤตได้
อาหารที่เรากินเข้าไปโดยเฉพาะ แป้ง โปรตีน ไขมัน โดยโครงสร้างของมันจะประกอบด้วย คาร์บอน กับ ไฮโดรเจน เมื่อร่างกายเผาผลาญอาหารโดยใช้ออกซิเจนแล้ว จะเกิดของเสีย 2 ตัวคือ คาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรเจน ซึ่งของเสียทั้ง 2 ตัวนี้จะต้องถูกกำจัดออกไปจากร่างกาย
คาร์บอนไดออกไซด์จะถูกกำจัดออกโดยการหายใจโดยจะระบายออกทางปอด ส่วนไฮโดรเจนจะถูกกำจัดโดยใช้ออกซิเจนในร่างกายมาจับกันกลายเป็นน้ำแล้วระบายออก
ดังนั้นออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไปจึงถึงแบ่งเอาไปใช้ 2 ส่วน คือ ส่วนหนึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาผลาญอาหาร อีกส่วนหนึ่งใช้ในการกำจัดของเสีย  หากมีออกซิเจนหลือก็จะถูกเก็บสำรองไว้ในเนื้อเยื่อ
เหตุผลที่เห็ดหลินจือสามารถช่วยที่เป็นผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับการขาดออกซิเจนฉับพลันให้รอดพ้นจากสภาวะวิกฤตได้  ก็เพราะ  ในเห็ดหลินจือมีสารเยอมาเนี่ยม สารนี้มีโครงสร้างที่สามารถจับตัวกับไฮโดรเจนแล้วขับออกจากร่างกายได้ ทำให้เห็ดหลินจือ ช่วยขจัดของเสียอย่างไฮโดรเจนไป ทำให้ร่างกายมีออกซิเจนเหลือจึงเก็บสำรองไว้ในเนื้อเยื่อต่างๆได้ นั่นคือ เห็ดหลินจือ
ช่วยในการขจัดของเสียแทนออกซิเจน ร่างกายจึงมีออกซิเจนเหลือเก็บไว้ในเนื้อเยื่อ หากเกิดเหตุการณ์ขาดออกซิเจนฉับพลัน ร่างกายก็จะดึงเอาออกซิเจนจากเนื้อเยื่อบริเวณนั้นมาใช้ได้

ผู้ป่วยโรคใดบ้างที่มีความเสียงเกิดภาวะการขาดออกซิเจนฉับพลัน
โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายฉับพลันหรือ Heart Attack โรค Stroke โรคถุงลมโป่งพอง เป็นต้น

เนื่องจากคนที่เป็นโรคหัวใจ จะต้องควบคุมเรื่องใขมันในเลือดและความดันโลหิต
จึงแบ่งสมุนไพรที่เหมาะกับโรคหัวใจนี้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มบำรุงหัวใจ กลุ่มลดไขมันในเลือดซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เส้นเลือด
หัวใจตีบ และกลุ่มลดความดันโลหิต

กลุ่มสมุนไพรบำรุงหัวใจ
- เกสรทั้ง5 คือ ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกสารภี ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง
- แก่นกฤษณา
- ใบบัวบก
- เตยหอม
สรรพคุณ บำรุงหัวใจ เอามาตากแห้งทำเป็นชา สำหรับชงดื่ม

กลุ่มสมุนไพรลดความดันโลหิต
- เห็ดหลินจือ
- กระเทียม
- ใบบัวบก
- กระเจี๊ยบแดง
- คื่นฉ่าย
Book Reference :
หนังสือ "หลิงจือ กับ ข้าพเจ้า" โดย นพ.บรรเจิด ตันติเวท
หนังสือ เห็ดหลินจือกับการรักษาโรค โดย สมศักดิ์ ชินกร
-----------------------------------
เครื่องดื่มน้ำสมุนไพรดีเอสเฮิร์บ(DS Herbal Drink Herb)มีส่วนผสมของเห็ดหลินจือ และสมุนไพรหลายชนิดที่บำรุงร่างกาย ทานแล้วดีมีประโยชน์ ผ่าน อย.แล้ว คลิกดูรายละเอียดที่นี่ คลิก

วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

มะเร็ง เต้า นม รู้เร็ว รักษาได้

มะเร็ง เต้า นม (อังกฤษ: Breast cancer) เป็นโรคมะเร็งที่พัฒนาจากการขยายตัวของเซลล์เนื้อเยื่อที่ผิดปกติบริเวณเต้านม อาจมีอาการแสดง ได้แก่ มีก้อนในเต้านม มีการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของเต้านม ผิวหนังมีรอยบุ๋ม มีสารน้ำไหลจากหัวนม หรือมีปื้นผิวหนังมีเกล็ดแดง ในผู้ที่มีการแพร่ของโรคไปไกล อาจมีปวดกระดูก ปุ่มน้ำเหลืองโต หายใจลำบาก

มะเร็ง เต้า นม ทั่วโลกเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในหญิง โดยคิดเป็น 25% ของผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด ในปี 2555 โรคนี้มีผู้ป่วย 1.68 ล้านคน และผู้เสียชีวิต 522,000 คน พบมากกว่าในประเทศพัฒนาแล้ว และพบในหญิงมากกว่าชาย 100 เท่า

ปัจจัยเสี่ยง
- ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เต้า นม โดยพบบ่อยในหญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป[1]
- หญิงที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง เต้า นม จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมมากกว่าคนปกติ รวมทั้ง ผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม ก็มีอัตราเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นใหม่สูงกว่าคนปกติด้วย
- ผู้ที่มีบุตรหลังอายุ 30 ปี รวมทั้ง หญิงที่ไม่เคยมีบุตร จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น
- การกลายพันธุ์ของยีน เช่น การเกิดการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2 สามารถทำให้เกิดมะเร็งเต้านม และสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
- ผู้หญิงที่มีเต้านมเต่งตึงกว่าอายุ เช่น หญิงที่มีอายุมากกว่า 45 ปี และมีความหนาแน่นของเต้านมมากกว่าร้อยละ 75 จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมมากกว่าคนปกติ
- ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาตั้งแต่อายุก่อน 12 ปี หรือ ประจำเดือนหมดช้าหลังอายุ 55 ปี จะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมได้ง่ายกว่าคนปกติ
- ผู้ที่รับประทานฮอร์โมนเพศหญิง รวมทั้ง ผู้ที่ได้รับยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน อาจเกิดมะเร็งเต้านมมากยิ่งขึ้น
- การสูบบุหรี่ทำให้เพิ่มโอกาสในการเกิดเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น

อาการเริ่มต้นที่อาจจะเป็นมะเร็ง
มะเร็งระยะเริ่มต้นนั้นมักจะไม่มีอาการเจ็บ แต่อาจจะตรวจพบความผิดปกติเกิดขึ้นที่เต้านม ซึ่งอาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของโรคมะเร็งเต้านม ดังนี้

- มีก้อนที่เต้านม (ร้อยละ 15-20 ของก้อนที่คลำได้ บริเวณเต้านมเป็นมะเร็งเต้านม
- มีการเปลี่ยนแปลงขนาด และรูปร่างของเต้านม
- ผิวหนังเปลี่ยนแปลง เช่น รอยบุ๋ม ย่น หดตัว หนาผิดปกติ บางส่วนมีสะเก็ด
- หัวนมมีการหดตัว คัน หรือแดงผิดปกติ
- มีเลือดหรือน้ำออกจากหัวนม ( ร้อยละ 20 ของการมีเลือดออกจะเป็นมะเร็ง)
- เจ็บเต้านม ( มะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ไม่เจ็บ นอกจากก้อนโตมากแล้ว )
- การบวมของรักแร้ เพราะต่อมน้ำเหลืองโต

การตรวจเต้านมตนเอง
การตรวจมะเร็งเพื่อหาการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น พบว่าร้อยละ 80 ของเนื้องอกที่เต้านมผู้หญิงนั้นถูกตรวจพบครั้งแรกด้วยตนเอง การตรวจเต้านมด้วยตนเอง ควรทำทุกเดือนตั้งแต่วัยสาวถึงวัยสูงอายุ เวลาที่ดีที่สุดที่จะทำการตรวจ คือ หลังหมดระดูแล้ว 3-10 วัน เพราะเป็นช่วงที่เต้านมไม่คัดตึงทำให้ตรวจได้ง่ายสำหรับผู้หญิงที่หมดระดูหรือได้รับการตัดมดลูก จะเป็นการดีถ้าได้ทำการตรวจเต้านมตนเองทุกวันที่หนึ่งของทุกเดือน

วิธีการตรวจ 3 ท่า
ทุกท่าจะต้องบิดลำตัวไปทั้งทางซ้ายและขวาสังเกตรูปร่าง ลักษณะ ความผิดปกติของผิวหนังรอยบุ๋ม รอยนูนของเต้านมหรือสิ่งผิดปกติอื่นๆ ของเต้านมทั้ง 2 ข้าง โดยมีท่า ดังนี้

1.ยืนหน้ากระจก
- ปล่อยแขนข้างลำตัวตามสบาย
- ยกแขนทั้ง 2 ข้างเหนือศีรษะ
- ท้าวเอว เกร็งอกเพื่อให้ผนังทรวงอกกระชับขึ้น
- โค้งตัวมาข้างหน้าใช้มือทั้ง 2 ข้างท้าวเอว
2.นอนราบ
- นอนให้สบาย ตรวจเต้านมขวาให้สอดหมอนหรือม้วนผ้าใต้ไหล่ขวา
- ยกแขนขวาเหนือศีรษะเพื่อให้เต้านมด้านนั้นแผ่ราบซึ่งจะทำให้คลำง่ายขึ้น โดยเฉพาะส่วนบนด้านนอกมีเนื้อหนามากที่สุด และมีการเกิดมะเร็งบ่อยที่สุด
- ใช้กึ่งกลางตอนบนของนิ้วมือซ้าย ( นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง ) คลำทั่วเต้านมและรักแร้ ที่สำคัญคือห้ามบีบเนื้อเต้านม เพราะจะทำให้รู้สึกเหมือนเจอก้อนเนื้อซึ่งความจริงไม่ใช่ และทำวิธีเดียวกันนี้กับเต้านมด้านซ้าย
3.ขณะอาบน้ำ
- สำหรับผู้หญิงที่มีเต้านมขนาดเล็กให้วางมือข้างเดียวกับเต้านมที่ต้องการตรวจบนศีรษะ แล้วใช้นิ้วมืออีกข้างคลำไปทิศทางเดียวกับที่ใช้ในท่านอน
- สำหรับผู้ที่มีเต้านมขนาดใหญ่ ให้ใช้นิ้วมือข้างนั้นประคอง และตรวจคลำเต้านมจากด้านล่าง ส่วนมืออีกข้างให้ตรวจคลำเต้านมด้านบน

ระยะของมะเร็งเต้านม
- ระยะ 0 เป็นระยะเริ่มต้นของเซลล์มะเร็ง ซึ่งยังไม่ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อเต้านม
- ระยะ 1 ก้อนมะเร็งมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร และยังไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง
- ระยะ 2 ก้อนมะเร็งมีขนาดระหว่าง 2-5 เซนติเมตร ซึ่งอาจจะลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้หรือไม่ก็ได้ หรือมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้ว แต่ยังไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น
- ระยะ 3 ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้ว แต่ยังไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น
- ระยะ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น ๆ แล้ว
การดูแลเต้านม
อายุ 20 ปีขึ้นไป ควรเริ่มตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน
ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตรวจคือ 3 ถึง 10 วัน นับจากประจำเดือนหมด ส่วนสตรีที่หมดประจำเดือนให้กำหนดวันที่จดจำง่ายและตรวจในวันเดียวกันของทุกเดือน
สำหรับผู้ที่มีประวัติในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
หากพบสิ่งผิดปกติบริเวณเต้านม หรือรักแร้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีที่พบ

การดูแลเต้านมตนเองโดยทั่วไป
1. ควรตรวจเต้านนมตนเอง หากท่านตรวจแล้วไม่มั่นใจ ให้ขอรับคำปรึกษาที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน หรือศูนย์สุขภาพชุมชนใกล้บ้านท่าน

แหล่งอ้างอิง
https://th.wikipedia.org/wiki/มะเร็งเต้านม

มะเร็งเต้านม แนวทางการรักษา,

วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560

Hyalo-Oligo ไฮยาโอลิโก หรือ Hyaluronic acid (HA)ร่างกายสามารถสร้างได้เองจริงหรือ

Hyalo-Oligo ไฮยาโอลิโก หรือ Hyaluronic acid (HA) คือกรดชนิดหนี่ง ที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นมาได้เอง มีอยู่ทั่วไปตามร่างกาย และโดยเฉพาะ บริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างอวัยวะและเซลล์ เพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสีและเพิ่มความยืดหยุ่น เช่น จุดเชื่อมต่อบริเวณหัวเข่า กระดูกอ่อน และ ผิวหนัง

ไฮยาลูรอนิคแอซิด ช่วยทำอะไรกับผิว เนื่องจากHyaluronic acid เป็นสารที่ช่วยชะลอความแก่ที่มีประสิทธิภาพดี และช่วยลดและรักษาอาการบาดเจ็บของผิวหนังได้เร็วกว่าปกติ 80% ทั้งยังช่วยนำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ผิว ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลายทำให้แผลหายเร็วขึ้น เพราะ ไฮยาลูรอนิค แอซิด มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ ช่วยลดการสร้างอนุมูลอิสระ กรองรังสี UV ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื่นเปล่งปลั่ง ลดริ้วรอย จุดด่างดำ ทำให้ผิวดูเต่งตึง สามารถใช้ได้กับผิวทุกประเภท ทั้งผิวแห้ง ผิวผสม หรือผิวมัน

ไฮยาลูรอนิกแอซิด ช่วยทำให้ผิวหน้าเราดูเต่งตึงได้อย่างไร ในผิวของเรา กรดไฮยาลูรอนิก ถูกผลิตขึ้นและถูกหล่อเลี้ยงจากบริเวณผิวหนังชั้น dermis (ผิวชั้นล่าง) และกระจายไปถึงผิวหนังชั้น epidermis (ผิวหนังชั้นบน) โดย กรดไฮยาลูรอนิก จะช่วยให้ผิวหนังสามารถเก็บกักความชุ่มชื่นได้มากกว่าปกติหลายเท่า (โดยที่ไม่เพิ่มความมันแบบที่ไม่ดีบนผิวชั้นนอก ดังนั้นคนที่มีผิวมันก็สบายใจขึ้นมาบ้าง) เมื่อผิวมีความชุ่มชื่นที่ดีเพียงพอ ผิวหน้าก็จะดูอ่อนเยาว์ อ่อนวัย ดูเนียนเรียบขึ้น ริ้วรอยลดลง มีความยืดหยุ่น นุ่มนวล และดูมีชีวิตชีวา กรดไฮยาลูรอนิคยังช่วยให้รักษาอาการบาดเจ็บของเซลล์ผิวหนังได้เร็วกว่าเดิม 80% อีกด้วย นั่นหมายความว่าผิวสามารถที่จะสมานและฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้น ผลดีอีกข้อนั่นก็คือการช่วยทำให้ผิวดูเต่งตึงขึ้นด้วย (plump effect) และโดยปกติการไหลเวียนของเลือดจะเป็นตัวนำของเสียออกจากเซลล์ตามธรรมชาติ แต่สำหรับเซลล์ผิวที่ไม่ได้ติดต่อกับเส้นเลือดโดยตรง กรดไฮยาลูรอนิคนั้นขะช่วยเพิ่มการนำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ผิวในส่วนนั้น และยังช่วยกำจัดของเสียออกจากเซลล์เหล่านั้น แต่ เมื่ออายุมากขึ้น ตั้งแต่ 30-40 ขึ้นไป การผลิตกรดไฮยาลูรอนิค ตามธรรมชาติก็ลดน้อยลงไปด้วย ผลก็คือผิวที่จะสูญเสียความชุ่มชื่น ผิวแห้งขึ้น และ ขาดความยืดหยุ่น สิ่งที่จะตามมาไม่ช้านั่นก็คือ ริ้วรอยที่จะเพิ่มมากขึ้น และความแก่ชราก็จะปรากฏชัดขึ้นนั่นเอง
สำหรับการใช้ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกเหนือไปจากการบำรุงและเสริมสร้างแต่เพียง collagen - elastin และลดริ้วรอยได้ และโอกาสที่จะเกิดอาการแพ้ก็เกิดได้ยาก เพราะ Hyaluronic Acid นั้นเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะอยู่ในสิ่งมีชีวิตชนิดใดก็ตามเพียงจะต่างกันแค่คุณสมบัติเท่านั้น

สำหรับ ไฮยาลูรอนิค แอซิด หรือไฮยาโอลิโก ใน DS Plus Gold Premium Night Cream มีคุณสมบัติดีกว่าไฮยาปกติทั่วไปเนื่องจากสามารถซืมลงไปชั้นใต้ผิวหนังได้ ไม่เหมือนกับไฮยาทั่วไปที่กองอยู่บนผิวหนัง เมื่อไฮยาโอลิโกซืมลงสู่ใต้ผิวหนังและกระจายตัวขึ้นมาที่บนผิวหนังช่วยทำหน้าที่กักเก็บน้ำ ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ สุขภาพดี ลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ กระชับรูขุมขน ทำให้แผลหายเร็ว และเป็นสารที่ช่วยชะลอความแก่ ที่มีประสิทธิภาพมาก กระจายตัวลงไปใต้ผิวเพื่อทำหน้าที่กับเก็บน้ำและความชุ่มชื่นของผิวทำให้ผิวดูสุขภาพดี ลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ กระชับรูขุมขน ทำให้แผลหายเร็ว และเป็นสารที่ช่วยชะลอความแก่ที่มีประสิทธิภาพมาก และไม่ทำให้ผิวหน้ามันและยังช่วยให้การแต่งหน้าติดทนดีขึ้นอีกด้วย จากการทดสอบความชุ่มชื่นผิวหลังจากใช้ Hyalo-Oligo (Hyaluronic Acid) ไฮยาลูรอนิค แอซิด ความชุ่มชื่นของผิวยังคงอยู่มากกว่าไฮยาลูรอนิคทั่วไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Line id : autthadate
Fanpage Facebook : http://www.facebook.com/beautifull.healthy